
นอกจากนี้ มาตรการภาครัฐ เช่น การลดค่าโอนกรรมสิทธิ์ และค่าจดจำนอง ยังช่วยกระตุ้นการซื้อขายของผู้บริโภคภายในประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มองหาที่อยู่อาศัยในราคาที่เอื้อมถึงได้
แม้แนวโน้มจะดูสดใส แต่ตลาดยังเผชิญกับปัญหาเรื่องต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงข้อจำกัดของกำลังซื้อจากกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง ทำให้ผู้พัฒนาโครงการต้องปรับกลยุทธ์ในการออกแบบสินค้า เช่น การลดขนาดพื้นที่ใช้สอย การใช้วัสดุที่คุ้มค่า และการทำโปรโมชั่นร่วมกับธนาคารเพื่อดึงดูดผู้ซื้อ
ในขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการขนาดเล็กยังต้องเผชิญกับการแข่งขันจากบริษัทขนาดใหญ่ที่มีเงินทุนและฐานลูกค้าชัดเจนกว่า ทำให้หลายรายต้องปรับตัวด้วยการหันไปเน้นตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) เช่น บ้านผู้สูงอายุ, บ้านรักษ์สิ่งแวดล้อม หรือโครงการที่มีแนวคิด Wellness Living
หนึ่งในปัจจัยที่กำลังเปลี่ยนแปลงวงการอสังหาริมทรัพย์อย่างมีนัยยะสำคัญ คือ การนำเทคโนโลยีมาใช้ทั้งในด้านการขาย การออกแบบ และการบริการหลังการขาย ตัวอย่างเช่น
การใช้ Virtual Tour และ 3D Walkthrough สำหรับการเยี่ยมชมโครงการแบบออนไลน์
ระบบ CRM (Customer Relationship Management) ที่ช่วยเก็บข้อมูลลูกค้าและวิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อ
แพลตฟอร์ม Marketplace สำหรับอสังหาริมทรัพย์ ที่ช่วยให้การจับคู่ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายเป็นไปอย่างสะดวกและแม่นยำมากขึ้น
เทคโนโลยียังมีบทบาทในการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ Smart Home, IoT และการจัดการพลังงานภายในบ้าน ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจเรื่องความสะดวก ความปลอดภัย และความยั่งยืน
ติ่มซำ
ทดสอบ 2
สรุป
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2567 มีแนวโน้มขยายตัวอย่างมั่นคง โดยได้รับแรงสนับสนุนจากทั้งภาครัฐ กลุ่มนักลงทุนต่างชาติ และการปรับตัวของผู้ประกอบการให้ทันกับความต้องการของผู้บริโภคในยุคใหม่ อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการวางแผนเชิงกลยุทธ์ที่เหมาะสม เข้าใจความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมตลาด และพร้อมเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการและประสบการณ์ของผู้ซื้อ